เทศน์เช้า

รู้วาระจิต

๓๑ ธ.ค. ๒๕๔o

 

รู้วาระจิต
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๔๐
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เดี๋ยวจะหาว่าเราไปละลาบละล้วง..... การระลึกชาติได้ระลึกได้ทั้งนั้นแหละ จิตพระอรหันต์เป็นจิตที่อ่อนควรแก่การงาน สิ่งใดๆ จะทำนี่ทำได้ทั้งหมดเลย เพียงแต่จะทำหรือไม่ทำเท่านั้น เห็นไหม ในการทำงานไง อย่างการเข้าสมาบัติ การเหาะเหินเดินฟ้า มันเหมือนกับเราทำงานหาเงินกันมา แล้วพอเรามีเงินมากแล้ว เรามีคนใช้เต็มบ้านเลย เราใช้คนอื่นทำงานแทน เราจะไม่ไปทำให้เหนื่อยหรอก

ใครจะไปอาบเหงื่อต่างน้ำอีก ในเมื่อเราเคยอาบเหงื่อต่างน้ำมาแล้ว อาบเหงื่อต่างน้ำมาจนมีเงินในบ้านของตัวเองมหาศาลเลย พอมีมหาศาลจะใช้คนอื่นทำงานแทน ตัวเองไม่ต้องไปทำไง อาบเหงื่อต่างน้ำ คือฌานสมาบัติเข้าไปนี่เพื่อจะไปรู้ตรงนั้นไง การลงไปรู้มันต้องเข้าฌานสมาบัติ แต่เรื่องของแม่มันเป็นเรื่องของสายสัมพันธ์ สายกรรม ไม่ต้องเข้าสมาบัติ พอจิตสงบรู้เลย

เรื่องระลึกชาติ เรื่องความรู้ต่างๆ นะเป็นอภิญญา ๖ หูทิพย์ ตาทิพย์ ปรมัตถวิชา รู้วาระจิต รู้ได้หมด แต่ความรู้นี้ไม่ได้แก้กิเลสเลย ไร้สาระ! ไม่มีความหมาย ไม่ตื่นเต้นเลย.. โลกตื่นเต้นกันไง นี่ความเห็นมันต่างกันตรงนี้ เราไม่ตื่นเต้นๆ เปล่านะ เรากลับเห็นเป็นโทษของนักปฏิบัติด้วย การจะมาวัดนี้ มาถึงเขื่อน มาถึงปากทาง รถจอดอยู่นั่นน่ะ คิดว่ามาถึงวัดนี้แล้ว มาถึงประตูน้ำไง แล้วก็เล่น ประตูน้ำมันดี ที่นี่นะน้ำมันไหลผ่านมันเย็นเนาะ ทิวทัศน์มันสวยงาม แหม.. มาถึงประตูน้ำมีต้นไม้ลมเย็นนอนเล่นกันอยู่นั่น มาถึงวัดเราไหม?

การวิปัสสนาไป การทำไปจะเห็นทุกคน นิมิตเอย อะไรเกิดขึ้นมันเป็นสิ่งที่เป็นโทษกับนักปฏิบัติอย่างมหาศาลเลย เรากลับเห็นโทษนะ เราไม่เคยเห็นคุณของเรื่องนี้เลย เว้นไว้แต่ผู้ที่ชำระกิเลสแล้วเป็นคุณ แต่ผู้ที่ไม่ชำระกิเลสอย่ามาโม้ อย่าโม้ การเห็นความยึดทุกอย่างมันเห็นแล้วมีรสชาติ ติดไปหมด ดีก็ติด ชั่วก็ติด ความเห็นก็ติด เราเห็น เรารู้ เราเก่ง ติดหมด ความเป็นเราเข้าไปยึดมั่นเป็นโทษกับการปฏิบัติ ถึงบอกว่ามันเป็นดอกไม้ข้างทางไง มันเป็นผลข้างเคียงของการปฏิบัติไง

การปฏิบัติคือการชำระกิเลส การกินอาหารนี่เรากินเพื่อร่างกายใช่ไหม? กินเพื่อร่างกาย กินเพื่อชีวิตอยู่รอดใช่ไหม? ทีนี้คนเขาจะกินกัน เขาจะกินรสชาติอร่อยๆ นั่นล่ะติดอย่างนั้นแหละเหมือนกันเลย เรากินอาหารเพื่อจะให้ร่างกายเราแข็งแรง เพื่อเราอยู่รอด ดำรงชีวิตอยู่ แต่ต้องไปกินปลาซาบะ ต้องไปกินกุ้งมังกรตัวหนึ่ง ๕ แสน ตัวหนึ่ง ๕ ล้านอย่างนั้นน่ะ เห็นไหม

เหมือนกัน กินอาหารก็เพื่อวิปัสสนาให้หมดกิเลส การหมดกิเลส เยี่ยม เยี่ยมที่สุดคือการกินอาหาร แต่คนติดในรสชาติไง ติดในความมุ่งหมายไง ติดในนิมิตไง ติดในการระลึกรู้ไง อันนี้เป็นโทษ แต่มันเป็นคุณสำหรับผู้ที่ผ่านแล้ว อันนี้มันเป็นการดักวาระจิตไง เป็นการสั่งสอนไง มันจะเป็นคุณต่อเมื่อผู้นั้นเป็นครูอาจารย์ แล้วเอาเรื่องนี้มาสอนลูกศิษย์ มาดักหน้าลูกศิษย์

อันนี้จะเป็นคุณประโยชน์ ประโยชน์ในเมื่อใช้มันเป็นวิธีการไง แต่เป็นวิธีการการสอนคน ไม่ได้สอนตัวเองนี่นา เป็นบ่อเกิด เป็นการขุดหลุมพรางให้ตัวเองหลงทางไง ฉะนั้น เราถึงมองคุณค่าอย่างนี้ไง เวลาเพื่อนเอ็งพูด พวกเอ็งตื่นเต้นกัน เห็นไหม เราเห็นแล้ว เพราะเราสลด สลดตรงไหน? สลดที่พระหลงตรงนี้กันมามาก ตรงนี้คือบ่อหลุมดำที่ทำให้การปฏิบัติไม่เดินไปไง

เหมือนกับนั่งสมาธิไปแล้วนั่งหลับไง การนั่งหลับนั้นเป็นบ่อให้จิตตกตรงนั้นตลอด มันถึงได้สลดไง อาจารย์พูดนี่ซึ้งจริงๆ ที่อาจารย์พูดเพราะอาจารย์ปฏิบัติมา เวลาธรรมเกิดนะ ตามหลักในศาสนาเป็นอย่างนั้นจริง หลวงปู่มั่นอยู่ในป่า สมเด็จฯ ถามว่า

“หลวงปู่มั่นอยู่ในป่าไปฟังครูบาอาจารย์มาจากไหน? อยู่ในป่าใครมาสอน”

“ผมอยู่ในป่าผมฟังธรรมตลอด ธรรมจะเกิดตลอดเลย ผมฟังธรรมตลอดเวลา”

นี่มันก็เรื่องจริง เห็นไหม ธรรมมันเกิด แล้วในตำราก็เรื่องจริง ธรรมมันเกิด เรานั่งสมาธิอยู่นี่เราจะเกิดเลย สมมุติว่าเราสงสัยเรื่องขันธ์ ๕ พอจิตสงบปั๊บจะมีครูบาอาจารย์ หรือว่าเป็นรูปของธรรมรูปใดรูปหนึ่งจะมาสั่งสอนเลย ขันธ์ ๕ เป็นอย่างนั้น ขันธ์ ๕ เป็นอย่างนี้ จะสอนตลอด เราสงสัยอยู่มันจะระเบิดเลย ออกเลย จะออกมาเลยนะ ความรู้อันนี้จะออกมา นี่ธรรมมันเกิด แต่อาจารย์มหาบัวบอกว่า “กิเลสมันเกิด” ค้านกับพระไตรปิฎกไหม? ค้าน

พระไตรปิฎกบอกว่า “ธรรมมันเกิด” อาจารย์มหาบัวบอกว่า “กิเลสมันเกิด” แล้วสำหรับเรานะ ครับ กิเลสมันเกิด เพราะมันรู้แล้วมันเก่ง เพราะฉันรู้ แหม.. เมื่อคืนนี้ธรรมมันเกิดอย่างนั้นๆ เกิด ฉันนี่เก่ง ฉันนี่ใหญ่ กิเลสเกิดไหม? ภาวนาต่อไปไหม? ติดตรงนั้นอีกหลายเดือน กว่าจะเลาะตรงนี้ออก นี่นักปฏิบัติ

ถูกต้อง ธรรมมันเกิดจริงๆ แต่เกิดให้กิเลสมันรู้ แล้วกิเลสมันยึดไง แต่ธรรมมันเกิดตามสภาวะ แต่ความยึดมั่นถือมั่นของกิเลสที่มันไปเกาะเข้าเลยเป็นกิเลส จริงๆ อันนั้นเป็นธรรม แต่ความไม่รู้ไปเกาะก็เลยเป็นกิเลส มาเชื่อตัวเองซะ.. ถ้าธรรมมันเกิด จริง ธรรมมันเกิด เราก็ว่าธรรมมันเกิด แล้วเวลาอาจารย์มหาบัวบอกกิเลสมันเกิด ก็จริงอีกแหละ เพราะกิเลสมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

มึงลองไปรู้อะไรเข้าสิ นั่งไปสิ ลองรู้เข้าสิ คุยอีก ๕ ปีไม่จบ คุยแล้วคุยเล่า คุยอยู่นั่นแหละว่ากูรู้ กูเก่ง ไม่เดินไปไหนเลย แล้วมันรู้อะไร? รู้เรื่องอดีตชาติ รู้เมื่อ ๕ ปีที่แล้ว ป่านนี้ยังคุยอยู่นะ ยังโม้อยู่นะ กูจะตายอยู่แล้วยังโม้อยู่นี่ อู๋ย.. ผมเคยได้อันนั้นครับ ผมเคยได้อันนี้ครับ ทั้งๆ ที่มันจะตายอยู่แล้ว มันยังโม้อยู่นั่นแหละ โม้อดีตไง กิเลสเกิดไหม?

เวลากิเลสเกิด นี่วุฒิภาวะของใจ คำพูดของคนๆ หนึ่ง คนอื่นตีความไม่ออก พออาจารย์มาบอกว่ากิเลสมันเกิด แหม.. มันถูกใจ ไอ้ชาวบ้านว่า อู๋ย.. ธรรมมันเกิด อยากจะรู้ว่าธรรมมันเกิด นี่จะชักเข้ามาตรงนี้ ตรงที่ว่าคนนั้นรู้อันนี้ คนนี้รู้อันนี้ สำหรับเรานะลิเก ละคร ไม่สนใจเลย

กาฬเทวิลอยู่บนพรหม เวลาพระพุทธเจ้าเกิด.. นี่อยู่ในพระไตรปิฎก กาฬเทวิลลงมาจากพรหมนะมาดู เพราะว่าเทวดาส่งกันขึ้นไปว่าพระพุทธเจ้าเกิด อยากมาดู มาเห็นหน้าแล้วร้องไห้ ทั้งดีใจ ทั้งร้องไห้ไง แล้วตามประวัตินี่ระลึกชาติได้ ๔๐ ชาติ ระลึกอดีต อนาคตได้ ๔๐ ชาติ ระลึกชาติได้ ๘๐ ชาติ เห็นไหม แล้วทำไมร้องไห้ล่ะ?

ร้องไห้เพราะเขาเป็นพราหมณ์ไง เขาเรียนมนต์เวทย์ไง เขารู้ว่าลักษณะ ๓๒ เป็นอย่างไร นี่พระพุทธเจ้าแน่นอนเลย อู้ฮู.. ดีใจมากเลย แล้วก็ร้องไห้ เป็นเพื่อนกับพระเจ้าสุทโธทนะ พระเจ้าสุทโธทนะถามเลย “ดีใจเพราะอะไร?”

นี่พระพุทธเจ้าเกิดแล้ว เพราะนี่โอ้โฮ.. มีฌานสมาบัตินะ ไปนอนอยู่บนพรหมก็ยังได้ นี่เป็นมนุษย์นะ ระลึกชาติได้หมดเลย แต่ชำระกิเลสไม่ได้ ไม่รู้วิธีการ กายนี้ขนาดเหาะได้ ระลึกชาติได้หมดตลอดเลย แต่ทำอะไรไม่ได้ นี่ดีใจมากเลยจะมีคนมาสอน

“แล้วที่ร้องไห้ล่ะ?”

“ก็ผมต้องตายก่อน”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้นี่ตายแล้ว นี่เพิ่งเกิด กว่าจะออกปฏิบัติ กว่าจะรู้ กว่าจะมาเป็นพระพุทธเจ้า กาฬเทวิลนี่จะตายอยู่แล้ว ขนาดรู้วันตายของตัวด้วย เก่งไหมวันตายของตัว รู้วันตายของตัวแล้วร้องไห้ด้วย นับประสากับไอ้ขี้หมาพวกนี้ ไร้สาระ!

โยม : (เสียงไม่ชัดเจน)

วันนี้วันปีใหม่ เริ่มต้นปีใหม่ปี ๔๑ นะ ปีที่แล้วสิ้นปีไปปี ๔๐ เมื่อวานมีคนมาหาหลายคนว่าขอพรๆ ว่าให้อายุ วัณโณ สุขัง พลังนั้นล่ะ ให้พร ให้พรไป นี่ก็มาขอพร เพราะมันไม่ไหวไง เพราะว่าพอขอพรนี่เพื่อจะไปแบบว่าความเป็นธุรกิจ ไอ้พวกความเป็นอยู่ไง

อันนั้นมันเป็นปัจจัยส่วนหนึ่งนะ มันเป็นที่ว่าพระพุทธเจ้าสอนปัจจัย ๔ ไง ปัจจัยเครื่องอยู่อาศัย เห็นไหม มันเป็นเครื่องอยู่อาศัย แม้แต่ทุกๆ คนต้องยอมรับ ในโลกนี้เศรษฐกิจมันจะเจริญขนาดไหน มันก็ต้องมีขาขึ้นและขาลง มันเป็นสิ่งอาศัยไง มันมีขาขึ้นและขาลง เห็นไหม เวลามันขาลง ทีนี้ลงหมดเลยขาลง เวลาขาขึ้นเพราะมันไม่คงที่ไง สิ่งที่ไม่คงที่คือสิ่งที่พึ่งไม่ได้ เราไปหาสิ่งที่พึ่งไม่ได้ว่าเป็นที่พึ่ง เป็นเครื่องอาศัยไม่ใช่ที่พึ่ง

ปีกลาย ปีที่ผ่านพ้นไปมันปี ๔๐ ใช่ไหม? แล้วเราเป็นชาวพุทธ เราก็ว่าอริยสัจไง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เห็นไหม มรรค ๔ โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค แล้วก็ ๔๐ ไง ๔ อย่างเราได้ ๐ ไง ปีนี้ปี ๔๑ อริยสัจเราได้ซัก ๑ ไหม? ปี ๔๑ กับปี ๔๐ ปี ๔๐ เรามีอริยสัจ ๔ แต่เราได้ ๐ มรรค ๔ เราก็ได้ ๐ อันนี้ปี ๔๑ เราจะได้ ๑ ไหม?

นี่ให้พร ให้พรอย่างนี้เลยนะ พุทโธ พุทโธ พุทโธไง พุทโธพอจิตสงบมันว่างจากกิเลสชั่วคราวไง มันจะมีความสุขต่างกับที่ว่าปัจจัย ๔ เราที่ว่าโลกเสื่อมๆ ธุรกิจแย่ลงๆ นี้มันเป็นขาลง ทุกคนยอมรับว่าเป็นขาลง ทีนี้เวลาขาขึ้น มองมาเทียบกันแล้วมันเป็นสิ่งอาศัย มันไม่ใช่สิ่งที่พึ่ง ขนาดทุกคนยอมรับว่ามันเจริญแล้วต้องเสื่อม เห็นไหม ทุกคนยอมรับว่าเจริญแล้วต้องเสื่อม เวลามันเสื่อมนี่ยอมรับว่าเสื่อม แต่ก็เจ็บปวดทุกข์ร้อนกับมัน

แต่ไอ้สิ่งสมบัติที่ควรจะเป็นสิ่งที่พึ่งจริงสิ เห็นไหม เวลาไปหาอาจารย์ อาจารย์จะบอกเลย “ฝากอย่างเดียวฝากพุทโธ..” ฝากพุทโธ พูดถึงพุทโธมันสะเทือนถึงพระพุทธเจ้าทุกองค์ พุทโธมันอยู่ที่ใจไง ใจของเรานี่พุทธะอยู่ที่ใจ ผู้รู้อยู่ที่ใจ ใจเป็นตัวรู้ไง ตัวเข้าใจไง ไอ้ตัวพุทธะตัวนี้ตัวสำคัญ ฉะนั้นเอาตรงนี้ มีความสุขไง ถึงบอกว่า ๔๑, ๔๐ ไง

จะกลับก่อนเนาะ เออ.. มีธุระจำเป็น ไป